หลังเกมส์ ลิเวอร์พูล เสมอ นิวคาสเซิล 1-1
May 3, 2021 by น้ำหวาน
เป็น 90 นาที ที่อธิบายถึงสโมสรลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ได้เลย นั่นคือเกมรุกสร้างโอกาสได้เยอะมาก แต่ใช้มันอย่างสิ้นเปลือง รวมถึงแท็กติกการจัดตัวของเจอร์เก้น คล็อปป์ที่บางครั้งก็อดทำให้แฟนบอลสงสัยไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่ จากเกมส์ที่ควรชนะ 4 – 5 ลุก แต่กลับจบลงด้วยการเสมอ 1-1 แบบไม่น่าเชื่อ และนี่คือบทสรุป 19 ข้อจากเกมนัดสำคัญที่แอนฟิลด์
1) สถานการณ์ก่อนเกม ลิเวอร์พูลจำเป็นต้องชนะ เพื่อทำแต้มกระโดดอยู่อันดับ 4 ชั่วคราว เกมส์นี้ คล็อปป์ใช้ 4 ประสาน ซาลาห์-มาเน่-โชต้า-ฟีร์มีโน่ ลงสนามพร้อมกัน สถิติบอกว่า เวลาหงส์แดงส่งตัวรุก 4 คน (The Quartet) ลงพร้อมกัน จะสร้างโอกาสได้เยอะมาก โดยเหตุผลคือนิวคาสเซิลเกมนี้ มาเล่นเกมรับ ไม่มีความจำเป็นต้องไปอัดกองกลางเยอะเกินไป ใช้หน้า 4 ตัวลุยแหลกไปเลยดีกว่า
2) เริ่มเกมมา 3 นาที ลิเวอร์พูลนำ 1-0 จากความสามารถเฉพาะตัวของซาลาห์ ดูดบอลลงกลางอากาศ แล้วหมุนตัววอลเลย์ด้วยซ้าย เข้าประตูไปอย่างมหัศจรรย์มากๆ นี่เป็นลูกที่ 20 ของซาลาห์ นำเป็นรองดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกตามหลังแฮร์รี่ เคน 1 ลูก ด้วยประตูนี้ ทำให้ซาลาห์เป็นนักเตะคนแรกของลิเวอร์พูล ในยุคพรีเมียร์ลีก ที่ยิงประตูได้ถึง 20 ลูก เป็นจำนวน 3 ซีซั่น (ฟาวเลอร์ 2 ครั้ง, ซัวเรซ 2 ครั้ง, ตอร์เรส 1 ครั้ง) ต่อให้ทีมจะดีจะร้ายอย่างไร ซาลาห์ก็มีความสม่ำเสมอของตัวเอง ฟีร์มีโน่ คาดหวังเรื่องการยิงประตูไม่ได้อยู่แล้ว ขณะที่โชต้าก็น่าผิดหวังได้โอกาสยิง 4 ครั้ง แต่ไม่ได้ลุ้นเลย อย่างไรก็ตามโชต้า ก็ยังเล่นดีกว่าซาดิโอ มาเน่ ที่ได้โอกาสยิง 6 ครั้ง และเป็นโอกาสแบบจะแจ้ง หรือ Clear cut chance อย่างน้อย 3 ครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้เลยสักลูก นัดนี้เป็นเกมที่แนวรับนิวคาสเซิลเหลวเป๋วมาก จ่ายบอลพลาดหน้าโกล์หลายครั้ง แผงแบ็กไฟว์ยืนตำแหน่งมั่วไปหมด แต่ลิเวอร์พูลไม่สามารถฉกฉวยไว้ได้เลย โอกาสมีเยอะตามคาด แต่ไม่สามารถยิงลูกที่ 2 ได้ จนถึงในช่วง 2 นาทีสุดท้าย รวมทดเจ็บ 4 นาที เป็นนิวคาสเซิลที่ยำลิเวอร์พูลแหลก จนไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้โจมตีได้ถึงขนาดนั้น และสตีฟ บรูซ ส่งไพ่ไม้ตายลงมาปั่นป่วนท้ายเกม นั่นคือ โจ วิลล็อค กองกลางที่ยืมมาจากอาร์เซน่อล
วิลล็อคนั้นเป็นตัวสำรองในเกมกับสเปอร์ส สุดท้ายยิงตีเสมอในนาที 85 จากนั้นเป็นสำรองในเกมเจอเวสต์แฮม ยิงประตูชัยในนาที 82 นี่คือตัวสำรองทีเด็ดที่แผลงฤทธิ์ท้ายเกมอยู่เสมอ เป็นคนที่ลิเวอร์พูลควรจะระวังตัวที่สุดแล้ว จนประตูที่เสียนั้น เกิดขึ้นนาที 90+5 นิวคาสเซิล เปิดบอลยัดๆเข้าไปในเขตโทษ แล้วหวังใช้การโหม่งชงขลุกขลิกเข้ายิงประตู ลิเวอร์พูลรู้ทั้งรู้ว่านิวคาสเซิลต้องเล่นแบบนี้ แต่กลับพลาดได้ บรรดาตัวรุก ซาลาห์ ฟีร์มีโน่ และเคอร์ติส โจนส์ แทนที่จะถอยต่ำลงไปยืนป้องกันในเขตโทษเลย จะยืนห้อยทำไม ในเมื่ออีก 2 วินาที จะหมดเวลาแล้ว กองหน้าทิ้งโอกาสที่ดีไม่รู้กี่ครั้ง กองกลางและกองหลัง ก็ยันไม่อยู่ในช่วงท้าย สุดท้ายก็เลยทำแต้มหลุด แบบที่ไม่มีคำบรรยายจริงๆ
3) ลิเวอร์พูลเกมนี้ครองบอลมากกว่านิวคาสเซิล 2 เท่า (68.5% ต่อ 31.5%) ,โอกาสยิงมากกว่า 3 เท่า (22 ครั้ง ต่อ 7 ครั้ง) และเตะมุมมากกว่า 2 เท่า (6 ครั้ง ต่อ 3 ครั้ง) คุมสถานการณ์ทุกอย่างได้หมด แต่ทิ้งโอกาสที่มีไปอย่างเหลือเชื่อ สิ่งเดียวที่ทำให้นิวคาสเซิลยังยื้ออยู่ได้ คือการที่หงส์แดงพลาดเองนั่นแหละ สถิติที่น่าสนใจบอกว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่เสียประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้ายมากที่สุดในลีก (11 ลูก) แม้แต่ทีมที่อยู่ในโซนตกชั้นอย่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หรือ เวสต์บรอมวิช ก็ไม่มีใครเสียประตูในช่วงท้ายเกม มากเท่าหงส์แดง นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล ไม่มีสมาธิพอที่จะปิดเกม ดังนั้นถ้านิวคาสเซิลตามหลังแค่ 1 ลูกจนถึง 10 นาทีสุดท้ายได้ล่ะก็ พวกเขามีโอกาสคัมแบ็กกลับมาได้แน่ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
4) เกมต่อไปของลิเวอร์พูล คือการไปเยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และจะเป็นเกมชี้ชะตาอย่างแท้จริงเลยว่า หงส์แดงในซีซั่นนี้ คู่ควรหรือไม่ กับการไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้า สถิติแดงเดือด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดนั้น แมนฯยูไนเต็ดไม่แพ้ลิเวอร์พูลมา 6 ปีติดต่อกันแล้ว ครั้งสุดท้ายที่หงส์ชนะต้องเป็นยุคเบรนแดน ร็อดเจอร์สเลย ย้อนไปนานขนาดนั้น อย่างที่คล็อปป์บอกไว้ ถ้าคุณจะไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก นักเตะก็ต้องเล่นให้คู่ควรด้วย ซึ่งจากที่เห็นใน 2 เกมที่ผ่านมา ทั้งกับลีดส์ และนิวคาสเซิล ไม่แน่ใจนักว่าจะใช้คำว่าคู่ควรได้หรือไม่
เรียบเรียงโดย
น้ำหวาน