manchester-city-liverpool-etihad

วิเคราะห์หลังเกมทีมเต็งแชมป์ ระหว่างหงส์แดงกับเรือใบ

Nov 13, 2020 by

ไฮไลท์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แมนซิตี้ พบ ลิเวอร์พูล เสมอ 1-1: เก็บตกประเด็นร้อนหลังเกม

ผลการแข่งขันเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ทำให้สำนักพนันถูกกฎหมายทั้งโลก ปรับราคาลิเวอร์พูลขึ้นเป็นเต็งหนึ่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ขณะที่แมนฯซิตี้ ก็หล่นไปอยู่อันดับ 2 จนได้ขณะที่ในแง่ของรายละเอียดเกม ทั้งสองทีมเล่นด้วยความตึงเครียดอย่างขีดสุด คือระมัดระวังตัวมากๆ เพราะพลาดเมื่อไหร่ คือโดนลงโทษทันที นี่เป็นเกมที่ดี และการเสมอกัน เป็นผลการแข่งขันที่ยอมรับได้ ถือเป็นแมตช์คุณภาพอีกนัดหนึ่ง มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้างที่เอติฮัด สเตเดี้ยม นี่คือบทสรุป 12 ข้อ จากเกมบิ๊กแมตช์ ก่อนพักเบรกทีมชาติ

1) แมนฯซิตี้ ไม่เสียประตูติดต่อกัน 3 แมตช์แล้ว เกมรับดีขึ้นเรื่อยๆ คู่เซ็นเตอร์แบ็ก มีมากเกินพอ ในแชมเปี้ยนส์ลีก จะใช้นาธาน อาเก้ ยืนคู่กับจอห์น สโตนส์ แต่พอกลับมาในพรีเมียร์ลีก จะใช้รูเบน ดิอาส ยืนคู่กับอายเมอริก ลาป็อกต์ ยังไม่นับเอริค การ์เซียที่รอโอกาสข้างสนามอีก พวกเขามีเซ็นเตอร์แบ็กคุณภาพเยี่ยม 5 ตัว พร้อมลงเล่นทุกคน ขณะที่ลิเวอร์พูล มีข่าวดีเรื่องเซ็นเตอร์แบ็กเช่นกัน เมื่อโจเอล มาติป ที่หายเจ็บตั้งแต่วีกก่อน พร้อมลงเล่นเกมนี้ โดยจับคู่กับโจ โกเมซ ทำให้มาติป-โกเมซ เป็นเซ็นเตอร์แบ็กคู่ที่ 37 ในยุคคล็อปป์ ที่ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง

2) ส่วนเกมรุก คล็อปป์กล้าที่จะส่ง 4 แนวรุกลงสนามพร้อมกัน ซาลาห์-มาเน่-ฟีร์มีโน่-โชต้า เพราะปกติ เกมที่ตึงเครียด เรามักจะเห็นคล็อปป์วาง 3 มิดฟิลด์ตัวกลางให้แน่นๆไว้ก่อน ไม่ให้ครองเกมในแดนกลางแพ้ แต่คราวนี้ ส่งโชต้าลงมา แล้วใช้ระบบ 4-2-3-1 เป็นการจัดตัวที่น่าเซอร์ไพรส์ทีเดียว นี่เป็นการทลายดราม่า เรื่องฟีร์มีโน่ vs โชต้า ได้อย่างชะงัดด้วย เพราะทำไมต้องเลือก ในเมื่อทั้ง 2 คน ลงสนามพร้อมกันได้ ใน 4 ประสานของลิเวอร์พูล เราจะเห็นว่า โชต้า ฟีร์มีโน่ และ ซาลาห์ จะหมุนๆ สลับตำแหน่งกันตลอด แต่กับมาเน่ จะยืนปักหลักที่ริมเส้นด้านซ้าย ไว้ดวลกับไคล์ วอล์กเกอร์ ใน 4 ตัวรุก มาเน่เป็นคนที่ได้บอลมากที่สุด (42 ครั้ง) เลี้ยงผ่านคู่แข่งได้มากที่สุด และเรียกฟาวล์ได้บ่อยที่สุด จากสถิติเผยว่า ไคล์ วอล์กเกอร์ เป็นผู้เล่นที่เสียฟาวล์มากที่สุด ในแผงแบ็กโฟร์ของแมนฯซิตี้ ดังนั้นคล็อปป์จึงวางมาเน่ ที่เรียกฟาวล์เก่งที่สุดในทีม (ค่าเฉลี่ย เรียกฟาวล์ได้ 3.9 ครั้งต่อเกม) มาเจอคนที่เสียฟาวล์ง่ายที่สุดของคู่แข่ง จนเป็นจุดเริ่มต้นของประตูนำ 1-0 ของลิเวอร์พูลด้วย

3) คนยิงจุดโทษ แน่นอนว่าคือ โม ซาลาห์ ลูกนี้เอแดร์ซอน นายทวารของซิตี้ ยืนนิ่งๆ เพราะลูกล่าสุดที่ยิงเวสต์แฮมเมื่อวีกก่อน ซาลาห์ซัดตรงกลางเป๊ะเลย แต่ซาลาห์เปลี่ยนมุมซัดซ้ายมือตัวเองเป็นจุดโทษลูกที่ 12 ติดต่อกัน ที่ซาลาห์ยิงเข้าแบบ 100% ถ้านับเฉพาะในซีซั่นนี้ก็ 5 ลูกแล้ว (พรีเมียร์ลีก 4 ชปล. 1) ตอนนี้ถ้าเรื่องจุดโทษเขาไว้ใจได้มากที่สุด

4) เกมในช่วง 20 นาที ลิเวอร์พูลครองเกมได้ดีกว่า มีจังหวะฉาบฉวยสวยๆเยอะกว่า แต่แมนฯซิตี้ ก็กลับสู่เกมได้ นาที 25 ไวจ์นัลดุม โดนเดอ บรอยน์ แซะแย่งบอล ก่อนที่เดอ บรอยน์ จะจ่ายยาวให้สเตอร์ลิ่ง เกือบตีเสมอได้ จากนั้นนาที 31 เดอ บรอยน์ ยืนโล่งๆ ในบริเวณหน้าแผงแบ็กโฟร์ โดยไม่มีทั้งเฮนเดอร์สัน และไวจ์นัลดุม คอยขวางคอยบล็อก ทำให้เดอ บรอยน์แอสซิสต์ให้เชซุส ตีเสมอเป็น 1-1

5) สำหรับประเด็นจุดโทษนั้นในมุมของโจ โกเมซ ก็น่าเห็นใจอยู่เพราะบอลจากเดอ บรอยน์ มันเร็วมาก แต่องค์ประกอบมันเอื้อให้เป็นจุดโทษทุกอย่าง แขนโกเมซยกขึ้นมา ไม่ได้แนบลำตัว บอลโดนต่ำกว่าแขนเสื้อ และด้านหลังโกเมซ มีนักเตะแมนฯซิตี้ 2 คน ที่มีโอกาสทำประตูได้ ผู้ตัดสินเครก พาวสัน เช็ก VAR และชี้เป็นจุดโทษทันที เจตนาหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ถ้าองค์ประกอบที่จะให้เป็นจุดโทษครบ มันก็ไม่สามารถตัดสินแบบอื่นได้ ถ้าดูจากคู่หัวค่ำ เกมเลสเตอร์ เจอวูล์ฟส์ ลูกที่แม็กซ์ คิลแมน ทำแฮนด์บอลเสียจุดโทษ ระยะยืนใกล้กว่าลูกโกเมซด้วยซ้ำ กรรมการก็ให้จุดโทษเหมือนกัน

6) เควิน เดอ บรอยน์ ยิงจุดโทษไม่พลาดมา 4 ปีติดต่อกัน ซีซั่นที่แล้ว เขาก็ยิงอลิสซอนได้ แต่คราวนี้เดอ บรอยน์ หักข้อกะให้เข้ามุมมากเกินไป บอลจึงหลุดกรอบออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ แมนฯซิตี้ พลาดโอกาสขึ้นนำ สถิติที่น่าสนใจของอลิสซอน เบ็คเกอร์ คือเขาเป็นผู้รักษาประตูในพรีเมียร์ลีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่สถิติ “ไม่เสียประตูจากจุดโทษ” มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่า “เสียประตู” อลิสซอน ตั้งแต่ย้ายมาพรีเมียร์ลีก เขาดวลจุดโทษไป 5 ครั้ง ปรากฎว่า เสียประตู 2 ลูก และไม่เสียประตู 3 ลูก คิดเป็น 40%-60% เลยทีเดียว ทั้ง 3 ลูกที่อลิสซอนไม่เสียประตู เกิดขึ้นกับนักเตะบิ๊กเนมทั้งนั้น

7) ในขณะที่ซิตี้ วูบวาบ แต่ลิเวอร์พูลเกมรุกพลังลดลงไป 4 ประสาน ยังเล่นไม่สอดรับกันนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ ซาลาห์, มาเน่, ฟีร์ม๊โน่ และ โชต้า ไม่มีใครได้คะแนนความสามารถ จากเว็บ Whoscored เกิน 7.0 คะแนน

8) แนวรับลิเวอร์พูลก็กลางๆ ไม่ดี ไม่ได้แย่ โจเอล มาติป จ่ายบอลเสียหลายครั้ง (เปอร์เซ็นต์จ่ายเข้าเป้า 80.3%) เช่นเดียวกับโกเมซ ที่ทำเสียจุดโทษ รวมถึงเปิดพื้นที่ให้กองหน้าคู่แข่งโจมตีได้ โชคดีที่กาเบรียล เชซุส โหม่งออกไปเองในช่วงต้นครึ่งหลัง แต่ในภาพรวมการเจอทีมระดับแมนฯซิตี้ แล้วมีข้อผิดพลาดแค่นี้ ก็นับว่าดีที่สุดเท่าที่ศักยภาพทีมจะมีได้แล้ว อีกคนที่ทำให้ลิเวอร์พูลจบเกมแบบมีแต้มในนัดนี้ คืออลิสซอน โอเค อาจไม่มีการเซฟครั้งสำคัญ แต่ลูกครอสอันตราย อลิสซอนจับไว้ติดมือทุกครั้งไม่มีกระฉอก เช่นเดียวกับช่วงทดเจ็บ ที่เขาวิ่งออกมาจากเขตโทษเป็นสิบหลาแล้วโหม่งเคลียร์บอลทิ้งไป

9) ครึ่งหลังเกม เนือยๆ เน้นการสาดบอลใส่กัน แมนฯซิตี้ ดูดีกว่าก็จริง แต่ไม่มีโอกาส Clear Cut หรือจะแจ้ง เกมเลยจบกันไปแบบยุติธรรม 1-1 ซึ่งตอนท้ายเกมที่ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิก พวกเขาน่าจะเน้นกว่านั้นหน่อย ชาคิรี่เปิดบอลโดยเพื่อนยังไม่พร้อม กรรมการเลยเป่าจบเกมไปเลยจากกระแสของฝั่งลิเวอร์พูล ดีใจกับหนึ่งแต้มนี้มากกว่าฝั่งของซิตี้ เพราะสถิติหลายอย่างเป็นรอง เปอร์เซ็นต์การครองบอล (ซิตี้ 54.7% – ลิเวอร์พูล 45.3%)

10) เกมนี้ เป็นครั้งแรกในฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลต่ำกว่า 48% ด้วย แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของแมนฯซิตี้ ที่จ่ายบอลเท้าสู่เท้าได้ดี และยืดเวลาในการครองบอลให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณภาพของแมนฯซิตี้ เราเห็นได้จากประตู 1-1 มันเกิดขึ้นจากการต่อบอลกันถึง 19 ครั้ง ซึ่งในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีทีมไหน ต่อบอลหลายครั้งขนาดนี้ แล้วยิงใส่ลิเวอร์พูลได้ (ครั้งสุดท้ายคือกันยายน 2017 คนยิงก็คือเชซุสเช่นกัน) ปกติทีมอื่นๆ เจอลิเวอร์พูลเพรสซิ่งรุมแย่งก็ตัดบอลได้แล้ว แต่แมนฯซิตี้ เอาตัวรอดได้ และชิ่งไปชิ่งมา 19 ครั้ง จนเจาะหงส์แดงได้สำเร็จ ซึ่งถือว่า ทีมของเป๊ป ยังมีทักษะการจ่ายบอลเท้าสู่เท้าที่ดีเสมอ

11) อาการบาดเจ็บของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ต้องรอผลสแกน ว่าจะพักนานแค่ไหน และถ้าเจ็บจริงๆ แบ็กขวาลิเวอร์พูลจะใช้งานใคร เนโก้ วิลเลียมส์? เจมส์ มิลเนอร์? หรือขยับเอา โจ โกเมซ มายืนฟูลแบ็กแทน ขณะที่ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนตัวได้แค่ 3 คน ในมุมของทีมใหญ่ ก็ต้องการเปลี่ยน 5 คนอยู่แล้ว คล็อปป์ กับกวาร์ดิโอล่า เห็นตรงกันว่า ถ้าหากเปลี่ยนตัวได้เยอะกว่านี้ ก็จะลดอาการบาดเจ็บของคีย์แมนลงได้ แต่คนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่ใช่พรีเมียร์ลีก แต่เป็น 20 สโมสรสมาชิก ในลีกสูงสุด ซึ่งผลโหวตนั้น มี 11 ทีม ที่ต้องการให้เปลี่ยนตัวได้ 3 คน ดังนั้นไอเดียเปลี่ยนตัว 5 คนจึงตกไป ต่อให้คล็อปป์กับกวาร์ดิโอล่าต้องการแค่ไหน ก็ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ของทีมอื่น

บทสรุปของเกมนี้ เป็นผลเสมอที่แฟร์แล้ว แมนฯซิตี้ ค่อยๆจูนเครื่องกลับมาเรื่อยๆ ตอนนี้ทีมเรือใบแข่งน้อยกว่าทีมอื่นๆอยู่ 1 นัด ถ้าพวกเขาเก็บเกมตกค้างได้ ก็จะตามจ่าฝูงแค่ 3 แต้มเท่านั้น ขณะที่ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดฤดูกาล ที่สำนักพนันถูกกฎหมาย ขยับพวกเขากลายเป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเรียบร้อยแล้ว นั่นเพราะหงส์แดง ผ่านเกมเยือนยากๆไปแล้ว 3 แมตช์โดยไม่แพ้เลย พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ หนทางอีกยาวไกล ทั้งลิเวอร์พูลและแมนฯซิตี้ ไม่ใช่จ่าฝูงของลีกในเวลานี้ แต่ในเกมระยะยาว ทั้งสองทีมจะคัมแบ็กกลับมา และขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันอย่างดุเดือดเช่นเคยแน่นอน


เรียบเรียงโดย

น้ำหวาน