วิเคราะห์หลังเกม แมนยู ถล่ม นักบุญ ณ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
Feb 8, 2021 by น้ำหวาน
วิเคราะห์หลัง 5 ประเด็น แมนยู ถล่มโหด “นักบุญ” คาถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
เมื่อวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถือเป็นเกมส์ที่แฟนบอลผีแดงสะใจกันอย่างมากกับสกอร์ที่ถือเป็นสถิติสูงสุดที่ถล่ม “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน ไปถึง 9-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถเทียบสถิติการชนะด้วยสกอร์ที่ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จ ด้วยฟอร์มการเล่นที่สุดยอด ของนักเตะผีแดง และเซาธ์แฮมป์ตัน ถือว่าเป็นการถูกถล่ม 9-0 อีกครั้ง เมื่อถูก เลสเตอร์ ซิตี้ ถล่มเมื่อฤดูกาลก่อนอีกด้วย โดยเริ่มเกมส์ไปได้แค่ตั้งแต่สองนาทีแรกเมื่อทีมเยือนเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนหลัง จากนั้นช่วงเวลาที่เหลือผีแดงสามารถคุมเกมส์ได้หมด โดยเซาธ์แฮมป์ตัน แทบจะไม่มีโอกาสยิงเลย การยิงได้ 9 ประตูในเกมนี้ส่งผลให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีผลต่างประตูได้เสีย 19 ลูกเท่ากับ ลิเวอร์พูล และตาม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ 5 ลูกเท่านั้น ที่สำคัญพวกเขากลายเป็นทีมที่ยิงประตูมากที่สุดในลีกฤดูกาลนี้ เราต้องมาดูกันว่าเมื่อฟอร์มแรงขนาดนี้จะสามารถต่อกรกับเรือใบสีน้ำเงินที่นำเผ็นจ่าฝูงได้คู่คี่มากแค่ไหนเมื่อจบฤดูกาล 2020/2021 เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่ามีอะไรที่น่าสนใจกันบ้างในเกมส์นี้
1. บทเรียนสำคัญของ อเล็กซานเดอร์ ยานเควิตซ์
หลังจากเกมลีกนัดล่าสุด ที่ของ เซาธ์แฮมป์ตันเพิ่งจะแพ้ให้กับแอสตันวิลลา 0-1 ดังนั้นการมาเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ถือว่าไม่ง่าย การจะได้1แต้มกลับบ้านก็ถือว่าโอเคแล้ว แฟนบอลก็ไม่คิดว่าจะแย่ขนาดนี้ เพียงแค่ 2 นาที อเล็กซานเดอร์ ยานเควิตซ์ แข้งดาวรุ่งวัย 19 ปี ที่ได้ลงเล่นเป็นครั้งที่ 2 ก็สร้างชื่อ โดยได้เปิดปุ่มอันตรายเข้าใส่ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ซึ่งเป็นจังหวะที่น่าจะยั้งเท้าได้ แต่เจ้าตัวยันใส่เต็มๆ ทำให้ผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน ไม่มีทางเลือก จำใจต้องควักใบแดงให้ ยานเควิตซ์ คงจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในครั้งนี้ หลังจากที่เขาได้สัมผัสเกมลูกหนังลีกสูงสุดเป็นแมตช์ที่ 2 และเป็นตัวจริงครั้งแรกให้กับ “เดอะ เซนต์ส” ในอนาคตเจ้าตัวคงจะอ่านเกมให้ดีกว่านี้ก่อนที่จะเข้าบอล ทำให้ทีมเสียเปรียบอย่างมาก และผีแดงก็โชว์ประสิทธิภาพการครองบอล และเกมส์บุกอย่างสนุนสนานกันเลยทีเดียว
2. สองฟูลแบ็ก ฟอร์มดีวันดีคืน
เป็นเรื่องที่แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด บ่นกันเสมอมาสำหรับ สองฟูลแบ็ก อย่าง อารอน วาน-บิสซาก้า และ ลุค ชอว์ ที่เปิดบอลในพื้นที่สุดท้ายไม่ค่อยเข้าเป้านัก แต่เกมนี้ทั้ง ทำหน้าที่ดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม โดยประตูแรกต้องบอกเลยว่าเป็นการประสานงานกันอย่างยอดเยี่ยมของสองฟูลแบ็ก เมื่อ ชอว์ เป็นคนโยนบอลจากฝั่งซ้ายให้ วาน-บิสซาก้า ที่วิ่งเติมจากฝั่งขวาส่งบอลเข้าไป เป็นการปลดล็อกเกมรุกของ “ผีแดง” และนำไปสู่การยิงประตูแบบถล่มทลาย
เพราะเนื่องจากการที่คู่แข่งเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน ทำให้เกมส์บุกทางด้านข้างของผีแดง เล่นง่ายขึ้นเยอะ ถึงอย่างนั้น ก็ต้องยกเครดิตให้กับ ชอว์ กับ วาน-บิสซาก้า ที่เล่นได้อย่างโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเติมเกมรุกทั้งสองฝั่ง ทำให้ทีมมีโอกาสในการเข้าทำหลากหลาย จนคู่แข่งเรียกได้ว่าสู้ไม่ได้เลยทีเดียว
3. เกมรุกเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น
การยิงให้ได้มากที่สุดเมื่อทีมได้เปรียบ ทำให้ลูกทีมของ น้าลูกอม สามารถเรียกความมั่นใจได้มากขึ้นอย่างมาก ซึ่งก็มีนักเตะหลายคนปืนฝืด ยิงไม่ค่อยได้ ตัวอย่างเช่น มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงประตูแรกในเกมลีกนับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ ซัดประตูแรกในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้าน อองโตนี่ มาร์กซิยาล ลงมาเป็นตัวสำรองจัดการยิงสองประตูในเกมนี้ถือเป็นการเรียกความมั่นใจกลับมาได้อีกครั้ง ส่วน บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประตูของ แมนฯ ยูไนเต็ด 5 เกมลีกหลังสุด แมตช์นี้ก็จัดการสังหารจุดโทษ และทำแอสซิสต์ให้ แดเนี่ยล เจมส์ กับ มาร์กซิยาล ถือเป็นการเรียกผลงานชั้นยอดแบบเดิมกลับมาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น แดเนี่ยล เจมส์ ก็ลงเป็นสำรอง ใช้เวลาไม่นานก็ยิงตอกฝาโรงไป 9-0 การคว้า 3 คะแนนพร้อมสกอร์ขนาดนี้ แน่นอนว่าเป็นการคัมแบ็ค “เร้ด เดวิลส์” ได้เป็นอย่างดี หลังจากเพิ่งเสมอ ปืนใหญ่ อาเซนอล และการแพ้ให้กับทีมบ็วยอย่าง เเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
4. แรชฟอร์ด ทำลายสถิติ เอริค คันโตน่า
ต้องยอมรับว่า แรชฟอร์ด ถือเป็นเด็กก้นกุฏิ และที่สามารถพัฒนาฝีเท้าจนก้าวขึ้น ชุดใหญ่ในยุคของ หลุยส์ ฟาน กัล ก่อนจะกลายเป็นตัวหลักของทีมในปัจจุบัน แรชฟอร์ด ไม่ได้มีดีแค่ความเร็ว และทักษะในการลากเลื้อยเท่านั้น จังหวะจบสกอร์ของเขาก็เฉียบคมมากๆ อีกทั้งยังมีความสามารถเฉพาะตัวมี่หาตัวจับอย่าง แม้ในช่วงหลังๆ อาจจะฟอร์มสะดุด แต่เจ้าตัวก็ยังคงมีประโยชน์เวลาที่ทีมเดินหน้าเปิดเกมบุกเข้าใส่คู่แข่ง แม้ว่าเกมนี้ เจ้าจะยิงได้แค่ประตูเดียว แต่เป็นประตูที่มีความหมายสำหรับเขามากๆ เพราะทำให้ตอนนี้เจ้าตัวซัดไปแล้ว 83 ลูกในทุกรายการ เหนือกว่า เอริค “เดอะ คิง” คันโตน่า ตำนานสโมสร ที่เคยยิง ” 82 ประตู สำหรับสถิติ ต่อไปที่ แรชฟอร์ด จะยิงแซงหน้าก็คือ เดวิด เบ็คแฮม ตำนานจอมปั่นฟรีคิกของทัพ “ผีแดง” ที่มีสถิติยิงประตูให้กับ แมนยู 85 ลูก ฉะนั้นด้วยวัย และโอกาสลงสนามมากขนาดนี้
5. โซลชา เข้าอกเข้าใจตัวสำรอง
เมื่อเกมส์ครึ่งแรก ผีแดงขึ้นนำไปแล้ว 4-0 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็ไม่รอช้าที่จะให้โอกาสนักเตะสำรองลงเล่นแทน เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น อีกครั้งยังพักตัวหลักเก็บไว้ใช้งานต่อไป โดย โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ใช้โอกาสนี้ปรับแผนการเล่นใหม่แถมให้โอกาส อ็องโตนี่ มาร์ซิยาล และ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ลงสนามเป็นตัวสำรองทันที และ อ็องโตนี่ มาร์ซิยาล ทำ 2 ประตู ส่วน แดเนี่ยล เจมส์ ก็ลงมายิงอีกลูกเหมือนกัน
เรียบเรียงโดย
น้ำหวาน