ลิเวอร์พูลแพ้เลสเตอร์ จุดเปลี่ยนของเจอร์เก้น คล็อป?
Feb 17, 2021 by น้ำหวาน
หรือการแพ้เลสเตอร์ในอาทิตย์ล่าสุดจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเจอร์เก้น คล็อปกับลิเวอร์พูล
บรรยากาศของลิเวอร์พูลหลังจากแพ้เลสเตอร์ ถือว่าเป็นจุดดิ่งที่สุด ตั้งแต่เจอร์เก้น คล็อปป์เข้ามาคุมทีม ไม่ใช่แค่เรื่องผลการแข่งขันเท่านั้น แต่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของแฟนลิเวอร์พูล และความศรัทธาที่เคยมีให้คล็อปป์ตลอดมา จางหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่ด่าคล็อปป์อย่างสาดเสียเทเสีย จนถึงขั้นขับไล่ออกไปให้พ้นทีม เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ และนี่คือบทสรุป 19 ข้อ จากเกมที่คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม
1) ด้วยการที่ฟาบินโญ่บาดเจ็บ ทำให้คล็อปป์ปรับตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก ด้วยการส่งโอซาน คาบัค กองหลังตัวใหม่ที่ได้มาจากชาลเก้ ลงจับคู่กับจอร์แดน เฮนเดอร์สัน มีคำถามไม่น้อยตอนเห็นไลน์อัพว่า ทำไมไม่เอากองหลังธรรมชาติลงพร้อมกันไปเลย แนท ฟิลลิปส์ กับคาบัคก็ได้ แล้วดันเอาจอร์แดน เฮนเดอร์สันไปเล่นมิดฟิลด์แทน
แต่เราก็พอเข้าใจได้ เพราะแนวรุกของเลสเตอร์ เร็วจี๊ดทุกตัว ดังนั้นควรจะมีแนวรับที่มีความเร็วสักคน เพื่อให้วิ่งไล่จับเหล่าตัวรุกให้ทัน
2) ช่วง 10 นาทีแรก เป็นช่วงที่เลสเตอร์ยังรวมสติไม่ได้ และพอลิเวอร์พูลฉกฉวยไม่ได้ คราวนี้เลสเตอร์กลับมามีสมาธิกับเกมแล้ว แน่นอนตอนนี้ ทุกทีมที่เล่นกับลิเวอร์พูล รู้ดีว่าต้องเล่นยังไง วิธีแรกคือแพ็กเกมรับไว้ก่อน ปล่อยให้ลิเวอร์พูลครองบอลไปเลย วิธีที่สอง คือถ้าลิเวอร์พูลได้บุกมา ไม่ต้องลังเลที่จะตัดฟาวล์ หรือเตะออกหลัง ให้เสียเตะมุมไปเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่า ทีมหงส์แดงไม่มีประสิทธิภาพที่จะเปลี่ยนลูกนิ่งเป็นประตูอยู่แล้ว ด้วยสองวิธีนี้ เราเห็นทั้งเบิร์นลีย์ และไบรท์ตัน คว้าสามแต้มได้สำเร็จมาแล้วจากทีมหงส์แดง ดังนั้นเลสเตอร์ก็ใช้วิธีเดียวกัน
3) เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลคุมเกมได้ดีกว่า และได้ประตูขึ้นนำ จากความสามารถพิเศษของโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่แอสซิสต์ถวายพานให้โม ซาลาห์ ซัดเน้นๆเข้าไป ลิเวอร์พูลนำ 1-0 ในนาทีที่ 67เหลือเวลาอีกไม่ถึง ครึ่ง ชม. ก็จะจบเกมส์นี้ แต่แล้วความผิดพลาดก็เกิดจนได้ เมื่อลิเวอร์พูลเสียฟรีคิกบนเส้นเขตโทษพอดี ลูกนี้คนที่เล่นพลาดจังหวะแรกสุด คือติอาโก้ จ่ายบอลกลางสนามเบาเกินไป จนโดนเอ็นดีดี้ ตัดบอลได้ จากนั้นเลสเตอร์โต้กลับมา ทำให้ติอาโก้ต้องมาแก้ตัวด้วยสกัดฮาร์วีย์ บาร์นส์ ลิเวอร์พูลโดนฟรีคิก เจมส์ แมดดิสัน ยิงฟรีคิกเข้ามากลางประตู บอลไม่โดนใครเลยพุ่งเข้าประตูไป และกรรมการเช็ค VAR แล้วว่าไม่ล้ำหน้า หลังจากนั้นเมื่อเสียประตู ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญ เมื่ออลิสซอน เบ็คเกอร์ กับ โอซาน คาบัค ไม่เข้าใจกัน ไปชนกันเอง จนบอลเข้าเท้าเจมี่ วาร์ดี้ ยิงเข้าไปแบบง่ายๆ นำเป็น 2-1 พอเสียลูก 2-1 คราวนี้ใจของนักเตะหงส์แดงหมดไปเลย ซาลาห์เล่นไม่ระวังจ่ายบอลเสียกลางสนาม เลสเตอร์จ่ายบอล 2 จังหวะ ให้บาร์นส์ ยิงเข้าไปเลย ปิดเกมด้วยสกอร์ 3-1 เลสเตอร์ครองบอลน้อยกว่า แต่ฉกฉวยโอกาสได้หมด 3 ประตูเกิดขึ้นในเวลาแค่ 7 นาทีเท่านั้น ทีมหงส์แดงพังพินาศอย่างไม่มีใครคาดคิด
4) ฟีดแบ็กหลังเกม คนที่โดนด่าหนักที่สุด ถึงขั้นสาดเสียเทเสีย คือเจอร์เก้น คล็อปป์ แฟนลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อย ถึงขนาดบอกให้สโมสรไล่ออกได้แล้ว และไปทาบทามสตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ตอนนี้กำลังจะพาเรนเจอร์สเป็นแชมป์สกอตแลนด์เข้ามาคุมแทน แต่ให้พูดตรงๆจากสถิติ คล็อปยังไม่สมควรจะโดนไล่ออก เพราะจากสถิติ เกมที่แพ้เลสเตอร์ เป็นนัดที่ 300 ของคล็อปป์ในการคุมลิเวอร์พูล อย่างไรก็ตาม ถ้าไปดูเปอร์เซ็นต์ชนะที่เขาสร้างขึ้นมาตลอด 5 ปีกว่าๆที่คุมลิเวอร์พูล เขามีเปอร์เซ็นต์ชนะ อยู่ที่ 59% ซึ่งถ้าเทียบกับโค้ชคนอื่นแล้ว ไม่มีใครมีสถิติดีกว่าคล็อปป์อีก
– เคนนี่ ดัลกลิช – 58.27%
– บ๊อบ เพสลีย์ – 57.57%
– ราฟา เบนิเตซ – 56.28%
จะเห็นว่าคล็อปป์เองทำมาตรฐานไว้สูงมาก ดังนั้นพอแพ้รัวๆ ก็เลยโดนแรงกดดันจากความคาดหวัง ทั้งๆที่เกมฟุตบอล มันก็แพ้ชนะกันได้ทั้งนั้น
5) สำหรับลิเวอร์พูลจากนี้ก็ต้องรีบมูฟ ออน และไปโฟกัสในเกมที่สำคัญที่สุด นั่นคือนัดต่อไปที่จะเจอกับไลป์ซิก ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ว่า จะมีโทรฟี่แชมป์ในซีซั่นนี้ แต่ปัญหาคือ ไลป์ซิก เป็นรองจ่าฝูงบุนเดสลีกา และเป็นทีมที่เสียประตูน้อยสุดในลีก ดังนั้นถ้าแนวรุกหงส์แดงยังเล่นไม่ออกแบบนี้ ก็อาจไม่ง่ายนักที่จะเจาะแนวรับของไลป์ซิกได้ ที่สำคัญกว่าฟอร์ม คือใจ ถ้านักเตะหมดใจจะสู้เจอกับใครก็ไม่ชนะ
เรียบเรียงโดย
น้ำหวาน